วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2559

L’Oreal White Perfect Total Recover Sleeping Mask ฟื้นฟูผิวเสียเผยผิวสวย เปล่งประกายออร่าชั่วข้ามคืน

เหล่าสาวๆที่ก้มหน้าก้มตาทำงานจนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง แต่ทุกวันผิวหน้าต้องเผชิญกับทั้ง ปัจจัยภายนอกอย่างแสงแดด ฝุ่นควัน มลภาวะ การแต่งหน้าทุกวัน ที่ทำให้ผิวเราเหนื่อยล้า และปัจจัยภายในอย่างความเครียด ก็ยิ่งทำให้ผิวหน้าเราแสดงถึงความอ่อนล้า สำหรับบล็อกนี้ดาวจะมาช่วยๆ เพื่อนๆดูแลความสวยเองค้า

               ถ้าวันไหนดาวต้องการดูแลผิวแบบเร่งด่วนและรวบรัด  ดาวเลือกที่จะหยิบมาส์กมาเป็นตัวช่วย เพราะว่ามาส์กจะมีความเข้มข้นมากกว่าครีมบำรุงปกติ และดูแลได้ล้ำลึกมากกว่า และผลลัพธ์มันเห็นแบบแทบจะทันที แต่ก็ต้องเลือกมาส์กที่มีคุณภาพด้วยน้า

 

แต่มาส์กก็มีหลายแบบด้วยกันเนอะ สาวคงมักจะชินกับการใช้มาส์กแผ่น หรือ Sheet mask เพราะด้วยความที่หยิบง่ายแล้วตอนนี้มันมีเยอะมาก ทั้งถูกและแพง แต่ว่ามาส์กพวกนี้ก็จะมีข้อเสียตรงที่ ไม่พอดีหน้าบ้าง ไหลบ้าง เลื่อนบ้าง ต้องนอนนิ่งๆ ทิ้งกิจกรรมเคลื่อนไหวทั้งหมด บางทีง๊วงง่วง เผลอหลับไปตอนมาส์กคราวนี้จากผิวจะถูกดูแล มันดันโดนดูดความชุ่นชื้นจากผิวเราไปหมดนะสิ (ตามปกติมาส์กแผ่นควรทิ้งไว้ 15-30 นาที ถ้าปล่อยให้นานจนแห้งมาส์กจะดูดความชุ่มชื้นจากผิวหน้าเราออกมาแทน) แต่ปัจจุบันชีวิตก็ง่ายขึ้น ไม่ต้องรอให้ครบเวลาอีกต่อไปแล้ว เพราะมันก็มีมาส์กที่เรียกว่า Sleeping Mask ให้เราได้ใช้กันละ มันก็ คือมาส์กที่เราทาแล้วนอนได้เลย ซึ่งทำให้ชีวิตดูง่ายขึ้นมาทันที แถมมาส์กตัวนี้ประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการใช้ Sheeting mask ถึง 4 แผ่นเลยทีเดียว แค่ฟังคร่าวๆ ก็อยากจะร้องตู้วหูวววแล้ว งั้นเราไปทำความรู้จักเจ้ามาส์กตัวเด็ดตัวนี้กันดีกว่า


มาส์กที่ดาวพูดถึงก็คือเจ้าตัวนี้เลยค่ะ L’Oreal White Perfect Total Recover Sleeping Mask อย่างที่บอกค่ะว่าเป็นมาส์กที่ทาแล้วก็เดินไปนอนได้เลย ไม่ต้องกังวลเรื่องมาส์กไหลหรือว่าเผลอหลับไป แค่ใช้มาส์กตัวนี้หลังจากบำรุงหน้าด้วย skincare ของแต่ละคน นำมาทาไว้เป็นขั้นตอนสุดท้ายสวยๆ แล้วก็พักผ่อนหลับใหลไปได้เลย ง่ายจริงๆ

               นอกจากความง่ายในการใช้งานแล้ว L’Oreal White Perfect Total Recover Sleeping Mask นั้นจะมีคุณสมบัติคือจะช่วยฟื้นฟูผิวที่เหนื่อยล้า หมองคล้ำ และสีผิวไม่สม่ำเสมอ ให้กลับมาดูสดใส ดูมีออร่า สำคัญคือชุ่มชื้นแบบเข้มข้นสุดๆ


Texture ของเนื้อมาส์กจะมีสองส่วน คือส่วนที่เป็นเนื้อมาส์กจะเป็นเหมือนเยลลี่เลยที่มีส่วนผสมของสารไวเทนนิ่ง สารแอนตี้ออกซิเดนท์ ช่วยฟื้นฟและบำรุงแบบล้ำลึก อีกส่วนคือเม็ดบีสท์ที่ผสมอยู่ในมาส์ก ขอบอกว่าเยอะมากๆ เม็ดบีทส์พวกนี้จะมีวิตามินอีและสารแอนตี้ออกซิเดนท์ออกมา นอกจากนี้ยังมี วิตามินอี วิตามินบี3 และ วิตามินซีจี ที่ช่วยเรื่องปรับสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ลดการผลิตเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวเราหมองคล้ำนั้นเองค่ะ


สำหรับวิธีการใช้มาส์กตัวนี้ของดาวนะค่ะ ดาวจะใช้หลังจากลง skincare ตามปกติที่ดาวใช้ แล้วลงด้วยมาส์กตัวนี้เป็นตัวสุดท้ายก่อนนอนค่ะ ถ้าวันไหนอยากฟื้นฟูมากมากก็จะใช้ปริมาณเพิ่มขึ้นกว่าปกติ ดาวจะใช้ปริมาณคือทาให้ทั่วหน้าและให้ความรู้สึกให้เนื้อมาส์กมันเคลือบอยู่บนหน้า วลาทาลงผิวดาวก็จะนวดๆ กดๆนิดนึง เพื่อให้เม็ดบีดส์แตกตัวออกมากระจายทั่วหน้า และเวลานวดให้นวดย้อนขึ้นต้านแรงโน้มถ่วง แล้วมาส์กทิ้งไว้เลยจ้า


มาส์กตัวนี้ดาวจะใช้อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง แต่ถ้าให้ดีแนะนำว่าให้ใช้ 3-4 ครั้งต่ออาทิตย์ ผิวหน้าจะดูชุ่มชื้นกว่า จับแล้วผิวหน้านุ่ม และผิวดูมีออร่า และถ้าใช้ติดต่อกัน 4 สัปดาห์ก็จะช่วยให้สีผิวดูเรียบเนียน สม่ำเสมอขึ้น พร้อมดูกระจ่างใสเปล่งออร่า เอาเป็นว่าวันนี้จะมาทดสอบประสิทธิภาพของมาส์กตัวนี้ให้ดูกันด้วย มาดูกันเลย!


สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพดาวจะใช้เครื่องทดสอบความชุ่มชื้นของผิว มาทดสอบและวัดว่าผิวของเราชุ่มชื้นมากน้อยแค่ไหน โดยจะเปรียบเทียบก่อนและหลังใช้มาส์ก และจะเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่าง Sheeting mask 4 แผ่นกับ  L’Oreal White Perfect Total Recover Sleeping Mask ว่าผลลัพธ์ออกมาจะเป็นยังไงค่ะ


ขั้นแรกดาวจะใช้เครื่องวัดความชื้นของผิวหน้าทดสอบดู ตั้งแต่ผิวก่อนบำรุงทั้งหมด ผลจากเครื่องวัดความชื้นของดาวออกมาได้แค่ 12.2 % เองอะ คือหน้าแห้งอะไรเบอร์นี้ หลังจากนั้นดาวจะเปรียบเทียบระหว่างใช้ L’Oreal White Perfect Total Recover Sleeping Mask  ด้านนึง และใช้ sheet maskสองแผ่นพับครึ่งให้เท่ากับ 4 แผ่น ทิ้งไว้ทั้งคืน หลังจากนั้นดาวจะมาส์กทั้งสองข้างทิ้งไว้ข้ามคืน แล้วหลังจากนั้นเรามาดูผลกันค่ะ


ดาวจะทา L’Oreal White Perfect Total Recover Sleeping Mask  ทิ้งไว้ด้านขวานะคะ


ตื่นเช้ามาลองมาวัดความชุ่มชื้นจากผิวจะเห็นเลยว่าความชุ่มชื้นของผิวก่อนใช้กับลังใช้มีความชุ่มชื้นของผิวที่แตกต่างกันมาก

ฝั่งที่ใช้มาส์กจาก L'oreal เพิ่มขึ้นจากก่อนมาส์กอย่างได้ชัดมากสุดเลย จาก 12.2 เป็น 99.9% โอโหหหหหห แทบไม่น่าเชื่อ ซึ่งอีกฝั่งที่ใช้ sheeting mask ได้คะแนนความชุ่มชื้นไปเพียง 42.7% เท่านั้นเอง แปลว่าก็ชุ่มชื้นขึ้นแต่ไม่เท่ากับฝั่งที่ใช้ L’Oreal White Perfect Total Recover Sleeping Mask เพราะฉะนั้นก็ยืนยันนอนยันได้เลยว่าไอเท็ม Sleeping maskตัวนี้มันเข้มข้นแบบว่ามว๊ากกกกจริงๆ สุดยอดดด เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้และสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าเพียงแค่ข้ามคืน


สำหรับดาวความรู้สึกแรกหลังจากได้มาลองใช้คือรู้สึกว่าผิวชุ่มชื้นสุดๆ 
พอตื่นเช้ามาหน้าจะดูมีน้ำมีนวล เปล่ง อารมณ์คล้ายๆเหมือนเราล้างหน้าเสร็จใหม่ๆ 
คือผิวจะฉ่ำๆ แถมดาวรู้สึกว่าผิวจะดูมีกระจ่างและดูมีออร่าขึ้นด้วย 
เพราะพอใช้มาส์กตัวนี้ก่อนไปออกงาน พอตื่นมาแต่งหน้าแล้วหน้าดูสวยขึ้น (นี่ไม่ชมตัวเองเลยจริงๆ
คือสวยในที่นี้ของดาวคือผิวมันดูเปล่ง ถ่ายรูปแล้วหน้าออร่าเด้งขึ้นมาจากปกติเลยแหละ

ต่อไปนี้สาวๆก็ไม่ต้องกลัวว่าจะโทรมอีกหรือว่ามีเหตุฉุกเฉินแบบไม่ทันตั้งตัวก็หายกังวลได้เลย เพราะเรามีตัวช่วยเตรียมผิวให้สวยเตรียมพร้อมอยู่เสมอ ดาวเชื่อว่าการมีพื้นฐานผิวดีก็จะยิ่งทำให้แต่งหน้าง่าย ผิวชุ่มชื้นจะทำให้ดูสดใสมากยิ่งขึ้น 

ยิ่งถ้าเอามาส์กเข้ามาอยู่ในการบำรุงผิวหน้าเป็นประจำ อาทิตย์ละ 2 – 3 ครั้ง ให้ผิวหน้าได้รับการบำรุงแบบล้ำลึกเป็นประจำและสม่ำเสมอ รับรองว่าผิวหน้าของสาวๆ ต้องเปล่งประกายออร่าในทุกๆวันอย่างแน่นอน 

ยังไงหวังว่าทุกคนที่เข้ามาจะได้สาระและก็ข้อมูลสำหรับการตัดสินใจเลือกซื้อมาส์กเน๊อะ สำหรับสาวๆ ที่สนใจ L’Oreal White Perfect Total Recover Sleeping Mask ราคากระปุกละ 399 บาทเท่านั้น ส่วนวันนี้ดาวขอลาไปดูแลผิวหน้าของตัวเองพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้ก่อนนะคะ บ๊ายบายยยย

Sponsored by L'Oreal Paris 
#LorealParis #WhitePerfect #SleepingMask

วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2559

แก้ไขปัญหาหน้าตอบด้วยการฉีดฟิลเลอร์เทคนิคพิเศษจาก Lively Clinic


สวัสดีค่ะเพื่อนๆ วันนี้ดาวจะมาแชร์ประสบการณ์ดีๆ ของดาวกับการตัดสินใจไปแก้ปัญหาสิ่งที่ดาวกังวลใจมากที่สุดในตอนนี้นั่นก็คือ 

"หน้าตอบเกินไป"

อุ่ยยย อย่าเพิ่งเมินหน้าหนี อย่าเพิ่งเบะปากนะคะ 
จะบอกว่าปัญหาผอมเกินไปจนหน้าตอบเนี่ยมันก็เหมือนโดนด่าว่าอ้วนแหละคะ 
โดนว่ามาทีนี่ไม่ได้ดีใจเลยนะ รู้สึกทุกข์เหมือนกัน มันก็รู้สึกไม่มั่นใจเหมือนกันแหละคะ
พอมองกระจกซ้ายขวาแล้วหน้ามันดูไม่มีมิติเอาซะเลย 

ประจวบเหมาะกับได้มีโอกาสมารู้จักกับหมอเบนซ์ที่ Lively Clinic ค่ะ 
หมอบอกว่าลองแวะมาปรึกษาปัญหาที่กังวลดู จากตรงนี้ก็เป็นจุดเริ่มของบล็อกนี้นั่นเองค่ะ

หลังจากเข้าไปที่คลีนิก แว้บแรกที่เจอหมอ สบตากับหมอ ทั้งสองคน (หมอเบนซ์ด้านซ้าย หมอโค้กด้านขวา) แล้วหลังจากนั่นก็เริ่มการสนทนากัน 

ดาวบอกว่าดาวกังวลเรื่องหน้าตอบ ปัญหาใต้ตาค่ะ (จำปัญหา 2 อย่างเหล่านี้ไว้ให้ดีๆนะคะ)
หลังจากดาวพูดจบ หมอทั้งสองก็พรั่งพรูออกมาทันทีว่าดาวต้องฉีดฟิลเลอร์ค่ะ!

หมอแจ้งว่าหน้าดาวแบนไปจริงๆ ต้องฉีดให้มันดูมีเนื้อมีหนังบ้าง 
ตอนนั้นเราก็นั่งฟังหมออย่างตั้งใจค่ะ รู้สึกว่าทำไมหมอพูดแทงใจดำจัง
แต่แว้บกลับมาคิดอีกที เอ้า หมอพูดถูกเป๊ะๆ เกี่ยวกัยปัญหาของเรา 
ณ จุดนั้นมองมุมกลับอีกทีว่าหมอเก่งที่มองหน้าปุ๊บรู้เลยว่าต้องแก้อะไร ด้วยวิธีไหนบ้าง 

ตอนแรกดาวนึกว่าจะต้องฉีดแก้มเป็นลูกส้ม แต่พอคุยกันแล้ว หมอเค้าก็จะมีเทคนิคของหมอคะ
หมอเค้าพิจารณาว่าต้องฉีดแก้มบริเวณข้างจมูกค่ะ ซึ่งอย่างที่บอกว่าฟังอย่างตั้งอกตั้งใจมาก และก็คิดเดี๋ยวนั้นตอนนั้นทันทีเลยว่า....เอาเลยวะ ฉีดก็ฉีดวันนั้นเลย 

ส่วนตัวก็เคยฉีดโบท็อกฟิลเลอร์มาบ้าง แต่ไม่ค่อยเสพติดเท่าไหร่ คือฉีดแล้วหายก็หาย หมดก็หมด ไม่ไปเติม เพราะอันดับแรกคือค่อนข้างกลัวเจ็บและกลัวหน้าจะเน่าอย่างที่เป็นข่าวกัน
เพราะฉนั้น ถ้าดาวจะฉีดจะต้องมั่นใจมากกกกกกๆๆๆ ว่าจะเอาหน้าเราไปเสี่ยง และต้องมั่นใจว่าหมอจะทำสวยด้วยนะ (เช็คฝีมือหมอก่อนไปทำด้วยก็ดี)

อันดับสองคือชอบหน้าตัวเองแบบนี้อยู่แล้ว ไม่อยากให้มันเปลี่ยนแปลงอะไรมาก
ถ้าจะทำก็คือไม่ได้อยากเปลี่ยนแปลงอะไรไปเยอะ แค่ทำให้มันไม่แย่ไปกว่าเดิมเป็นพอ
อันนี้เป็นความคิดเห็นความชอบส่วนตัวของดาว ณ​ ปัจจุบันนะคะ

จริงๆดาวเคยฉีดเมื่อ 2 ปีที่แล้วเพราะว่าไปเป็น subject ให้กับหมอสิงค์โปรคนนึง ซึ่งเป็นอาจารย์หมอที่มือโปร เราเลยมั่นใจมากถึงมากที่สุด  ซึ่งในครั้งนี้ที่ตัดสินใจฉีดกับหมอก็เพราะว่าดาวค่อนข้างหาข้อมูลแล้วก็มั่นใจในระดับนึงเลยทีเดียวค่ะถึงตัดสินใจได้รวดเร็วขนาดนี้

และอีกอย่างที่ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นคือ หมอคุยสนุกและคุยเคลียร์ดีค่ะ ถามอะไรก็ตอบแบบตรงไปตรงมา
อารมณ์เหมือนเพื่อนมานั่งคุยกันว่าชั้นจะทำยังไงให้หน้าชั้นดีขึ้นๆ แล้วก็ช่วยจัดการลงมือให้ด้วยเลยจริงๆ


อ๊ากกกก คุยกันไปมาเวลาผ่านไปจนถึงจุดที่เราเดินมานั่งบนเตียงละ
 ขั้นตอนแรกก่อนจะฉีดก็ทายาชาทิ้งไว้ที่บริเวณที่จะฉีดก่อน 30 นาทีค่ะ ดาวทาตรงช่วงแก้มเกือบทั้งหน้าอะ หน้าชาไปหมดเลย 5555 แล้วก็ถึงเวลาลงมือขึ้นเขียงค่ะ 

ขอบอกเลยว่าก่อนจะทำใจแข็งมาก จะฉีดก็ฉีดมาเลยไรงี้ ไม่กลัวหรอก 
แต่พอเข็มแทงเข้าไป ใจก็สั่นอยู่ไม่น้อย 5555 ตอนนั้นเหมือนคำว่าป๊อดมากระแทกหน้าเต็มๆ (ก็ใช่แหละ) แต่มันก็ไม่ได้เจ็บมากมายอะไรขนาดนั้น เจ็บก็จริง แต่อยู่ในระดับที่พอรับได้ ไม่ได้เจ็บแบบเว่อร์วังอะไรขนาดนั้นค่ะ ไม่ต้องกังวลมากมาย
หมอก็จะบอกตลอดๆ ว่าทำอะไรอยู่ ฉีดเสร็จข้างนึงก็หยิบกระจกให้เรามาเทียบดูความแตกต่างกันเลย

ต้องบอกว่าสำหรับชีวิตดาว แตกต่างมากกกก ระหว่างก่อนกับหลัง 
เรามาดูกันดีกว่า แทแด๊....


ดาวฉีดของ Juvederm ทั้งหมด 2 CC. ข้างละ 1 CC เลยค่ะ
สนนราคา CC ละ 17,900 บาท สำหรับโปรโมชั่นคือ 2 CC 35,000 บาท
แต่อันนี้ต้องบอกว่าไปอ้อนมาได้ส่วนลดเพิ่มอีกนิดหน่อย 555

สำหรับ AFTER มุมตรง จะเห็นเลยว่าหน้าอิ่มขึ้นมากกกกกกก
นอกจากจะดูมีแก้มเพิ่มขึ้นแล้วถ้าดูดีๆ รอยใต้ตาที่เป็นปัญหาที่ดาวกังวลก็จางลงไปด้วย
แค่นั้นไม่พอ ปัญหาเรื่องร่องแก้มที่เวลายิ้มแล้วรองพื้นตกร่องมันหายไปด้วย
แถมให้อีกอย่างคือออ พอมีแก้มมันก็ดึงมุมปากให้ไม่ตก

โฮ้ววววววววววว จอรช์​ ไม่น่าเชื่อว่าการมีแก้มแล้วชีวิตมันดีอย่างนี้นี่เองอ่า
ฉีดแค่ตรงที่เดียวแต่แก้ปัญหาให้ดาวได้เยอะมาก 
น้ำตาจะไหล ทราบซึ้งใจในฝีมือหมอ คือต้องขอชมหมอเลยนะคะว่าดูถูกจุดจริงๆ 
นี่คือประทับใจมากกกกกก ถึงมากที่สุด
ณ จุดนั้นอารมณ์เหมือนเราโมหน้ามาใหม่เลยค่ะ มีความรู้สึกเหมือนหมอมีอภินิหารอะ 
รักหมอมาก ณ จุดนี้ 


มาดูมุมข้างๆกันบ้างนะคะ
จากอีหน้าแบนด้านซ้าย กลายมาเป็นคนปกติในด้านขวา
เห็นความมีมิติ เห็นความนูนของหน้านั่นไหม 
แอร้ยยยยยย อิทธิฤทธ์ฟิลเลอร์ล้วนๆ  5555555
หืมมมมม แต่ต้องบอกเลยว่าต่อให้มีฟิลเลอร์ดีขนาดไหนแต่ฝีมือหมอไม่ถึงนี่ก็พูดยากนะ
อันนี้คือดาวเห็นความเปลี่ยนแปลงได้จริงๆแล้วมันดีขึ้นจริงๆค่ะ

หลังจากที่ดาวฉีดไปก็สังเกตุได้ถึงความแตกต่างค่ะ
สัปดาห์แรกดาวจะปวดช่วงที่ฉีดไปเพราะว่าช่วงแรกฟิลเลอร์จะยังไม่ผสานกับร่างกาย ยังไม่เข้าที่ ตรงที่เราฉีดไปมันจะยังเป็นก้อนๆ ถ้ามองจริงๆจะสังเกตไม่ออกแต่ถ้าถ่ายรูปปุ๊บ จะรู้ทันทีว่าไปทำอะไรกับหน้ามา หน้ามันจะดูตึงๆนิดหน่อยด้วยค่ะ ซึ่งหมอก็ไลน์มาถามไถ่หลังจากที่ฉีดไปด้วย ก็เล่าอาการไป หมอก็บอกว่ามันจะเป็นก้อนประมาณสัปดาห์นึงค่ะ แล้วก็จะค่อยๆดีขึ้น 
จากนั้นเราก็สบายใจค่ะ เชื่อมั่นในตัวหมอ แล้วก็ช่วงแรกๆที่ทำมาก็คือทานน้ำเยอะๆค่ะ ทานน้ำบ่อยมาก เพราะว่าฟิลเลอร์เป็นสารอุ้มน้ำค่ะ ยิ่งน้ำดีๆ น้ำเยอะๆ เค้าก็จะยิ่งฟู ยิ่งดี

ซึ่งหลังจากนั้นก็ตามนั้นเลยค่ะ ฟิลเลอร์เริ่มผสานตัวกับหน้ามากยิ่งขึ้น พอเวลาถ่ายรูปมาก็ดูไม่ออกแล้วว่าไปทำอะไรมา แถมหน้าดูอิ่มขึ้น โดยรวมดูดีขึ้นไม่ดูแห้งอิดโรย 
คือรู้สึกดีทั้งตัวจริงทั้งในกล้อง รู้สึกว่ามันทำให้เรามั่นใจมากขึ้นจริงๆค่ะ
แต่จะมีนิดนึงตอนยิ้ม จะรู้สึกว่ามันยังตึงๆอยู่นิดหน่อย แต่โดยรวมถือว่าพอใจมากค่ะ
เพราะว่าไม่ใช่แค่เรามีแก้มนะ แต่ถุงใต้ตาของดาวหายไป ถ่ายรูปแล้วดูไม่โทรมแล้ว กับเวลาทารองพื้นก็ไม่เป็นคราบตรงร่องแก้มแล้วค่ะ โอ้ยยยย ดีงามพระรามแปดสุดๆ 
เป็นการฉีดฟิลเลอร์ที่แฮปปี้ที่สุด

ต้องบอกก่อนว่าตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะมาเขียนเป็นบล็อกจริงจังขนาดนี้ รูปเอยรายละเอียดเอยอาจจะไม่ครบครันมากเท่าไหร่ แต่ขอบอกเลยว่าบล็อกนี้อินเนอร์และความประทับใจให้ไปแบบล้วนๆมาก 
คือชอบจนต้องมาบอกมาเล่าให้ฟังกันเลยว่ามันดีงามจริงๆ
ยังไงต้องขอบคุณหมอเบนซ์กับหมอโค้กที่ชวนเข้าไปคุยในวันนั้นและเทคแคร์ดูแลดาวดีประหนึ่งเป็นเพื่อน 

นอกจากฟิลเลอร์แล้วที่นี่เค้ายังมีบริการอื่นๆด้วยนะคะ อย่างตัว HIFU ยกกระชับผิว ทำให้หน้าอ่อนเยาว์ที่ดังมากๆ ก็มี
สำหรับใครที่สนใจคลีนิกหรืออยากเข้าไปดูบริการอื่นๆ ก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ Lively Clinic

แนบแผนที่มาให้ด้วยนะคะ

ร้านอยู่ในซอยสุขุมวิท 39 ถ้านั่งบีทีเอสไปลงสถานีพร้อมพงษ์​ เดินต่อไปถึงซอย 39 แล้วสามารถเรียกรถมอเตอร์ไซค์หรือนั่งรถสองแถวเข้าไปได้ หรือถ้าจะเดินก็ได้แต่ไกลหน่อยค่ะ อยู่เกือบสุดซอย 
ร้านจะอยู่ในเวิ้งไก่ยามะจัง ด้านหน้ามีรูปปั้นสองนิ้วยืนชูอยู่ หาได้ง่ายไม่ยากเลยค่ะ

ถ้าเกิดว่าใครมีคำถาม หรืออยากสอบถามมากกว่านี้ก็ยินดีค่ะ
ไปพูดคุยกันได้ในเพจนะคะ dujdowfanpage
สำหรับวันนี้ต้องขอตัวลาไปก่อนเจอกันใหม่บล็อกหน้านะค๊า